เพราะความโชคร้ายในวันนั้น ถึงได้โชคดีในวันนี้…
เพราะความโชคร้ายในวันนั้น ถึงได้โชคดีในวันนี้…
นึกถึงวันทำงานวันสุดท้ายที่ dtac เมื่อ 7 ปี
ก่อนขอเขียนไว้เป็นที่ระลึกปีต่อๆไป มาเห็น จะได้ไว้คอยเตือนตัวเองไปเรื่อยๆทุกปีอดีต
ในตอนนั้นรุ่งด้าน Digital Marketing มากมีคนเชิญไปบรรยาย เดินสาย ออกทีวีช่องใหญ่ๆหลายรายการ สัมภาษณ์วิทยุอีกมากมาย หนังสือพิมพ์ แมกกาซีนด้านธุรกิจ ลงมาแล้วทุกเล่ม
ทั้งถูกสัมภาษณ์ เขียนคอลัมน์ประจำจนมี pocket book ของตัวเองตอนนั้นมีคนตามบน Twitter 6–7 หมื่นคน ทำเพจมีแฟนเป็นแสนๆ
เป็นทีมบุกเบิก Digital Marketing ของบริษัทยุคแรกๆเป็นคนแรกที่ใช้ influencer marketing ตอนเปิดตัว 3G
เป็นคนแรกที่ใช้ Social Listening ในวันที่ไม่มีคนทำ product นี้ในไทย
มีคนชวนไปทำงานด้วยเยอะมากๆครับ แต่ตอนนั้นปฏิเสธหมด เพราะมีความสุขดีได้อยู่ทีมที่ดี (Marcomm) และมีเจ้านายที่ดีมากๆ (พี่ตูน พี่ป๋อง พี่โจ้)
อาจฟังดูขี้โม้หน่อยๆ แต่เป็นเรื่องจริงหมด (Google ชื่อได้เลย) ทำให้ตอนนั้น คิดว่าตัวเองเก่ง ตัวเองแน่ อีโก้พุ่งสูงปรี๊ด
คนรักไม่รู้มีมั้ย แต่คนหมั่นไส้และไม่ชอบขี้หน้า มีพอสมควร
เมื่อมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เป็นพี่ที่เป็น CEO และเป็นคนที่ดังมากๆในวงการมีเดีย ชวนไปทำงานด้วยตำแหน่งตอนนั้น คือ ใหญ่มาก คุมกล่อง 1 กล่อง ใน OCรายงานตรงกับ CEO คนเดียว
ผมก็ดีใจ คิดว่านี่เป็น Big Step forward ในอาชีพการงาน
วันที่ 16 ก.ย 2011 ไปเซ็นสัญญาเริ่มงานที่ใหม่กลับมาก็คิดแล้วว่า ชีวิตต่อจากนี้ คงน่าสนุก
ได้เป็นผู้บริหารระดับสูง เงินเดือนเยอะๆ ในอายุที่น้อยกว่าคนอื่นมากวันต่อมา
กลับไปดีแทค คุยกับพี่ป๋อง เจ้านาย เรื่องลาออก
ตอนนั้นไม่ได้บอกแกหรอกครับว่าไปได้งานใหม่
เพราะใจนึงก็คิดอยู่ว่า ถ้าไปแล้วเฟล คนที่นี่รู้ ก็คงเสียหน้า
มันเป็นนิสัยของคนที่อีโก้สูงๆ ไม่สามารถยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้
ก็ได้แต่บอกแกไปว่า ออกไปทำกิจการของตัวเอง (มุขลาออกไปเรียนต่อ เคยใช้แล้วครั้งนึง ตอนลาออกจากทรู)
พอคุยกันเสร็จ ก็สบายใจ ทุกอย่างโล่งอกไปหมด เดินตามแพลนที่วางไว้เป๊ะ
เหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิด มันก็เกิด เมื่อพี่ CEO ท่านนั้น ออกจากตำแหน่งไป สัญญาจ้างงานที่เซ็นกันไว้ ก็ถูกบอร์ดบริหารยกเลิกไป
จากผู้บริหารระดับสูงที่คิดเอาไว้ กลายเป็นคนไม่มีงานทำทันที…
แต่เนื่องจากเป็นคนที่เดินหน้าทำอะไรแล้ว ไม่เคยคิดจะเดินถอยหลัง
ถ้ากลับไปคุยกับหัวหน้าอีกรอบว่าเปลี่ยนใจ ขออยู่ทำงานที่ดีแทคต่อ คิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร (คิดเองนะ 55)
แต่สุดท้ายก็คิดว่า เราตัดสินใจไปแล้ว ก็ต้องเดินหน้า วางแผนต่างๆใหม่แบบงงๆผมก็ยังคงทำงานที่ดีแทคจนถึงวันสุดท้าย คือ 29 ก.ย.2011
วันที่มีการตัดหนังโฆษณา 3G ตัวนึง ทำกันถึงตีอะไรจำไม่ได้ จำได้แค่ว่า เป็นวันที่มีความสุขมากที่สุดวันหนึ่ง ตั้งแต่ทำงานที่นี่เลย
แต่พรุ่งนี้จะทำอะไรต่อ ไม่มีงานทำแล้ว
โลกนี้ เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจริงๆสิ่งที่อยากจะบอก และเคยบอกน้องๆหลายคนที่เราหวังดีหลายครั้ง คือ
- อย่าเน้นออกสื่อมาก จนทำให้ตัวเองเสียโฟกัสไป และแย่สุด คือ เสียตัวตนจน สร้างอีโก้ขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ มันจะคอยทำลายตัวเราเองโดยที่เราไม่รู้ตัว
- ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ เคสตัวเอง ผมพูดให้คนอื่นฟังน้อยมาก แต่จะคอยเตือนคนอื่นบ่อยมากในเรื่องความไม่แน่นอน
- ในวันที่เฟลมาก แย่มาก ต้องตั้งสติ อยู่กับตัวเอง ทำตัวเองให้สบายใจ นัดเพื่อนฝูงกินข้าวบ้างเพื่อความสบายใจ ครอบครัวมีส่วนสำคัญให้เราผ่านไปได้โอกาสเราสร้างเองได้ ไม่ต้องรอให้มันวิ่งเข้ามาหา และเราจะสร้างได้ ถ้าเรามีสติในการคิดแบบเต็มร้อย
- เมื่อโลกนี้มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้เสมอ สิ่งที่แน่นอนมากๆ คือ ต้องพัฒนาตัวเอง หมั่นศึกษาหาความรู้ให้เยอะเข้าไว้ ยิ่งมีความรู้มาก ยิ่งมีโอกาสมาก
- อ่อนน้อมถ่อมตน Humble เข้าไว้ กับคนทุกระดับ รปภ แม่บ้าน ผู้บริหาร จะเด็กกว่า หรือผู้ใหญ่กว่า ก็ต้องให้เกียรติเค้าเสมอกัน
การสวัสดีทักทายรปภ.ที่คอนโด ทักทายคนแจกบัตรจอดรถเข้าอาคารทุกวัน ยกมือไหว้คนที่เด็กกว่า ก็ช่วยให้อีโก้ลดลงมาก
เคยเจอกับตัว คือ คุณเอ๋ วัลลภา ไตรโสรัส (สิริวัฒนภักดี — TCC Group) —
คุณ บี ทิพพาภรณ์ อริยวรารมณ์ (เจียรวนนท์ — MQDC)
ทั้ง 2 ท่าน ยกมือไหว้คนอายุน้อยกว่าอย่างเราก่อน พูดจาทักทายอย่างเป็นมิตรแบบ humble มากๆ
ทั้ง 2 ท่านเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ และทำให้ผมคิดได้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่สนใจแล้วว่าใครจะเด็กกว่าหรือแก่กว่า ผมยกมือไหว้ก่อนเลย - อายุมากแล้ว มีประสบการณ์มากแล้วต้องแยกแยะให้ออกครับ ว่าอะไร คือ คุณค่าแท้ อะไรคือคุณค่าเทียมดูละคร เล่นเฟส ทำอะไรไร้สาระได้ แต่ต้องหาความรู้ใส่ตัวควบคู่กันไปด้วย
เพราะสิ่งที่ติดตัวและช่วยให้รอดพ้นจากวิกฤติชีวิตและสร้างโอกาสใหม่ๆ ไม่ใช่เฟสบุค หรือละครแต่เป็นความรู้ที่สะสมมา และเพื่อนที่ดีที่คอยส่งเสริม ให้กำลังใจ ให้ความช่วยเหลือเมื่อเราลำบาก - ทำใจให้คุ้นเคยกับการถูกปฏิเสธเคยโดน investor ปฏิเสธเยอะ จนจำไม่ได้แล้วว่ากี่ครั้งแต่เคย raise fund ได้ 2 รอบ รอบละ ร้อยกว่าล้าน (Hollywood HD กับ Prime Time)แม้ว่าสุดท้ายจะทำ startup ทั้งสองตัวไม่สำเร็จก็ตามสำหรับคนที่โดน investor ปฏิเสธ ก็ไม่ต้องไปคิดอะไรมากครับ
มันอาจจะนำพาเราไปสู่เส้นทางที่ดีกว่า เพราะเราได้คิดอะไรบนข้อจำกัด ได้ดิ้นรน ได้ท้าทายตัวเองทัศนคติของความเป็นนักสู้
เป็นคุณสมบัติสำคัญที่ entrepreneurs ทุกคนต้องมีและความยากลำบาก
นี่ถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเส้นทาง entrepreneur
ยิ่งถูกปฏิเสธบ่อย จะยิ่งเก่งขึ้น มีภูมิคุ้มกันที่ดี จิตใจจะแข็งแรงมากขึ้นด้วย - เชื่อใน Connecting the dots ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะดี หรือจะไม่ดี สุดท้ายมันจะกลับมาดีได้เสมอ
ตอนปี 2014 มีผู้นักลงทุนผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง (แกดังมาก แต่ขออภัย ไม่เอ่ยนาม) ตกลงปลงใจให้ทุนผมทำ Startup ตัวนึง เตรียมวางแผนทำอะไรกันอย่างดี
แต่อีก 3 วันต่อมา บังเอิญแกเปลี่ยนใจ บอกว่าช่วงนี้หมอดูไม่แนะนำให้ลงทุนกับใครผมกลับสู่โหมดเคว้งคว้าง โดน “ความไม่แน่นอน” เล่นงานอีกรอบมีข้อเสนอกลับมาใหม่ ให้เป็นผู้บริหาร คุมงานดิจิตัลทั้งหมด ของบริษัทหนึ่งในเครือที่แกเป็นเจ้าของ
แต่ผมปฏิเสธไป เพราะเส้นทาง Entrepreneur คือ เส้นทางที่ผมเลือกแล้ว ก็คงอยู่ในเส้นทางนี้ต่อไปถ้าได้เงินลงทุนก้อนนั้น หรือ ผมตอบรับตำแหน่งงานนั้น ก็คงต้องนั่งทำ startup ที่ไป pitch วันนั้น
หรือ ต้องบริหารบริษัทในเครือแกไป
คงไม่ได้ไปเปิดโลกอะไรใหม่ๆ ไม่ได้ไปชิลล์ๆ เที่ยวเล่น เข้า conference มากมายอยู่อเมริกา 6 เดือนและคงไม่ได้ทำงานที่ทำอยู่ทุกวันตอนนี้ ใ
นวันที่ตัวเองได้เห็นโลกกว้างกว่าเดิมมีเพื่อนใหม่ๆ มากมาย รู้จักคนหลากหลายวงการมาก และยังได้ช่วยเป็นที่ปรึกษาให้กับพี่ๆน้องๆหลายคน ที่กำลังเดินอยู่ในเส้นทาง entrepreneur ด้วยกัน
เพราะความโชคร้ายในวันนั้น ถึงได้โชคดีในวันนี้…
“You can’t connect the dots looking forward; you can only connect them looking backwards.So you have to trust that the dots will somehow connect in your future. You have to trust in something — your gut, destiny, life, karma, whatever.This approach has never let me down, and it has made all the difference in my life.”
= บทความเก่า บันทึกเป็น archive ไว้อ่านเล่นๆ =